ลุ้นรัฐบาลเคาะให้เงิน 10,000 บาท เป็นของขวัญปีใหม่
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเสนอแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรายปี โดยเริ่มตั้งแต่ของขวัญปีใหม่ช่วงสิ้นปีนี้ต่อเนื่องถึงตลอดทั้งปีหน้า เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ โดยจะกำหนดเป็นกรอบไทม์ไลน์ไว้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยอาจจะแบ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบรายธุรกิจ รวมถึงการเสนอให้เดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตระยะถัดไป มาตรการแก้หนี้ภาคประชาชน ตลอดจนมาตรการของขวัญปีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ทั้งนี้ในการหารือคงไม่ใช่แค่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังเพียงกระทรวงเดียว แต่เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงต่างๆด้วย เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อให้สามารถมองเห็นกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้าว่าจะเดินไปทางไหน อย่างไร
สำหรับเงินที่จะใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะใช้ที่มาแบบผสมผสาน ไม่ได้มาจากแหล่งเงินในงบประมาณเพียงแหล่งเดียว โดยส่วนหนึ่งมาจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปีงบประมาณ 68 ที่กำหนดวงเงินไว้ 180,000 ล้านบาท และบางโครงการไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณ รวมถึงบางส่วนเป็นโครงการของสถาบันการเงินของรัฐ ที่อยู่ในบัญชีกิจการของรัฐ หรือพีเอสเอ
นายจุลพันธ์กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมีการประชุมต่อเนื่อง ซึ่งจะมีความคืบหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น โดยไตรมาส 4 จะขยายตัวดีกว่าเดิม แต่รัฐบาลจะไม่หยุดแค่นี้ เพราะยังมีอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีปัญหา เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะ หรือภาคอสังหา ริมทรัพย์ที่ยังมีการชะลอตัว แม้ว่ามาตรการแจกเงิน 10,000 บาท สำหรับคนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรคนพิการ 14.5 ล้านคน จะได้ออกไปแล้วและมีการใช้จ่ายไปแล้วจำนวนมากก็ตาม
นอกจากนี้ ในการประชุมจะพิจารณามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยของสถาบันการเงิน ด้วยการพักดอกเบี้ยและลดค่างวด โดยที่กระทรวงการคลังจะยอมให้สถาบันการเงินลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเอฟไอดีเอฟ และอีกส่วนหนึ่งมาจากทรัพยากรของสถาบันการเงินเอง ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องการให้ลูกหนี้ที่เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว สามารถกู้ยืมเงินใหม่ได้ เพราะในมุมมองของรัฐบาลนั้น ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าการเข้าถึงสินเชื่อแล้วจะก่อให้เกิดหนี้สิน และกลายเป็นหนี้เสียตามมา แต่เรามองว่าการเข้าถึงสินเชื่อนั้นช่วยสร้างโอกาสให้กับคน เพื่อให้เขากลับมายืนได้ด้วยตัวเอง.
แหล่งที่มา: https://www.siamnews.com/view-122805.html?fbclid=IwY2xjawGnxHRleHRuA2FlbQIxMAABHQgUVkDzb5gCMjoo-o6S4CGSf0rMErORo1ds3q3OaZONQ96yvD4s8Y8NRA_aem_Wmc-zKofeTWsBxjY-FeNKg
3 ประกันรถยนต์ ที่ไหนดี ปี 2024 มีทั้งแบบประกันชั้น 1, 2 และ 3
1
เลือกจากประเภทของประกันรถยนต์
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่าประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2 หรือชั้น 3 กันมาบ้าง แต่อาจจะไม่ทราบความแตกต่างของประกันรถยนต์ทั้งสามประเภท ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาอธิบายความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละประเภทให้ทราบกันค่ะ
ประกันรถยนต์ชั้น 1
สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 1 นั้นเป็นกรมธรรม์ที่ดูแลครอบคลุมมากที่สุดค่ะ โดยคุ้มครองทั้งผู้เอาประกัน ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก ซึ่งคุ้มครองครบทั้ง 4 กรณีหลัก ๆ ดังนี้
- รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและร่างกายของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสายในรถยนต์ที่ทำประกันไว้
- คุ้มครองทรัพย์สินและความเสียหายของบุคคลภายนอก หรือคู่กรณี
- คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถยนต์
- คุ้มครองการสูญหายและกรณีไฟไหม้รถยนต์
หากทำประกันชั้น 1 ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม ผู้เอาประกันก็จะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ค่ะ
ประกันรถยนต์ชั้น 2 และ 2+
สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 2 นั้นจะมีความคุ้มครองคล้ายคลึงกับประกันรถยนต์ชั้น 1 ค่ะ คือคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและร่างกายของคู่กรณี รวมถึงคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และคุ้มครองกรณีรถยนต์ไฟไหม้ แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายที่มีต่อตัวรถยนต์ ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมทำประกันชั้น 2 แต่จะนิยมทำประกันชั้น 2+ แทน เนื่องจากให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 2 แต่เพิ่มความคุ้มครองต่อตัวรถยนต์ กรณีที่ชนหรือเกิดอุบัติเหตุกับพาหนะทางบก รวมถึงคุ้มครองกรณีสูญหายด้วยค่ะ
ประกันรถยนต์ชั้น 3 และ 3+
ประกันรถยนต์ชั้น 3 นั้นถือว่าให้ความคุ้มครองน้อยที่สุดค่ะ โดยจะคุ้มครองชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลอื่น รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์ และรับผิดชอบเฉพาะทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ในส่วนของประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะเพิ่มความคุ้มครองกรณีชน เฉี่ยว หรือเกิดอุบัติเหตุกับพาหนะทางบก เช่น รถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซค์ แต่ต้องเป็นการชนแบบมีคู่กรณีเท่านั้นค่ะ หากไม่มีคู่กรณีหรือคู่กรณีหนีไปจะไม่สามารถเบิกเคลมประกันในส่วนของความเสียหายเกี่ยวกับตัวรถยนต์ได้
3 อันดับแบรนด์รถยนต์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย มีแบรนด์อะไรบ้าง ?

- 1. Toyotaแบรนด์รถยนต์แนะนำที่แสนโด่งดัง ที่ไม่ใช่แค่ได้รับความนิยมในไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากอุตสาหกรรมทอผ้า และได้มีการถูกถ่ายโอนและขายสิทธิบัตรให้กับบริษัทในประเทศอังกฤษ จวบจนปี ค.ศ.1933-1935 ก็ถือเป็นช่วงที่แบรนด์ Toyoda ถือกำเนิดขึ้น และรถยนต์รุ่นแรกคือ A1 รถยนต์ขนาดเล็ก และ G1 รถบรรทุกแม้ว่าทั้ง 2 รุ่น จะจัดจำหน่ายในช่วงที่สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างแปรปรวน แต่ยอดขายกลับสวนทางแบบสุดโต่ง สร้างกำไรให้กับบริษัทเป็นจำนวนมาก จนสามารถนำเม็ดเงินเหล่านั้นไปต่อยอดสู่รถยนต์รุ่นอื่น ๆ เป็นลำดับต่อไปจะเห็นได้ว่าก่อนที่ Toyata จะได้รับความนิยมในปัจจุบัน แบรนด์นี้ได้รับความนิยมตั้งแต่ตอนที่ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Toyada แต่ในท้าทายที่สุดได้เปลี่ยนมาเป็น Toyota แบรนด์รถยอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการสื่อถึง Infinity พร้อมเปิดตัวโลโก้ 3 ห่วง โดยวงรีทั้ง 2 วงที่ซ้อนกัน หมายถึงการผลึกร่วมหัวใจ 2 ดวง ได้แก่ หัวใจของผู้ใช้รถและหัวใจของรถโตโยต้า และวงรีใหญ่ที่สื่อถึงการขยายตัว หมายถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของรถยนต์ยุคใหม่ ที่จะก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
- 2. Isuzuเริ่มแรกถูกก่อตั้งในชื่อ Tokyo Ishikawajima Shipbuilding & Engineering Company ต่อมาได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรบริษัทยานยนต์สัญชาติอังกฤษ Wolseley Motors Limited และผลิตรถยนต์โดยสารคันแรกสำเร็จ ในปี ค.ศ.1922 ใช้ชื่อว่า Wolseley A9 จากความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้บริษัทผลิตรถบรรทุกรุ่นต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
- 3. Hondaแบรนด์รถยนต์ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาจักรยานยนต์แบบติดเครื่องยนต์ และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ถูกนำไปลงสนามประลอง F1 ณ ประเทศฝรั่งเศส หลังจากกวาดรางวัลชนะเลิศกลับมาทำให้แบรนด์ตลาดโด่งดัง และกลับมาพร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง Handa Civic ในตำนาน มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้เทคโนโลยี CVCC ซึ่งช่วยลดมลพิษทางอากาศ และ 4 ปีให้หลังก็ได้เปิดตัวรถยนต์อีกรุ่นในตำนานอย่าง Honda Accord