“พระมหาอุเทน” โพสต์ซัด “อ.เบียร์ คนตื่นธรรม” โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 67 ทางด้าน “พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์” พระนักเทศน์-นักเขียน วัดชนะสงคราม วรมหาวิหาร เคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊กถึง “อาจารเบียร์ คนตื่นธรรม” ระบุว่า… บทความเขียนตอนที่ ๑ ต้นไม้มีพิษก็ออกผลผิดลูกหลานเป็นพิษพูดผิดประพฤติผิดตามกันมา พุทธวจนะเริ่มต้นจากพุทธทาส – คึกฤทธิ์ – เบียร์ คนเพิ่งตื่นธรรม
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดของการแก้ปัญหาหนังสือพุทธจนให้ถูกต้นตอตามหลักของอริยสัจสี่ ทุกขสัจ : ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส แก้ที่สมุทัยเหตุเกิดทุกข์ : กามตัญหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงจะบรรลุถึงนิโรธสัจดับสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงตัดรากถอนโคน (สมุจเฉทประหาณ) ข้าพเจ้าขอกล่าว
แก้สติปัญญาของเบียร์ (ทราบชื่อจริงว่า “ณัฐพงษ์”) คนตื่นธรรมที่เรียกร้องให้ข้าพเจ้าโทรติดต่อไปถึงเขาเพื่อพูดคุยตักเตือนหลังไมค์ ไม่ใช่มาพูดออกสื่อเป็นสาธารณะแบบนี้ และยังตำหนิฟาดกลับข้าพเจ้าว่า “ถือเป็นการนินทา ไม่มีมารยาท ไม่ได้ประโยชน์”
เบียร์ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเพิ่งตื่นธรรม มีชื่อดังไม่นานมานี้เอง เธอทำตนเป็นบุคคลสาธารณะมิใช่หรือ โดยไลฟ์สดให้คนทั่วทั้งโลกได้รับชมและรับฟังการพูดของเธอ
เมื่อเธอทำตนเป็นบุคคลสาธารณะพูดออกไปไลฟ์สดเป็นสาธารณะอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนทั่วไปจะพูดวิพากษ์วิจารณ์เธอแบบสาธารณะ ไม่มีใครไปขออนุญาตเธอก่อนที่จะพูดวิพากษ์วิจารณ์เธอหรอก ไม่มีใครที่จะไปพูดกับเธอตักเตือนหรือตำหนิติเตียนหลังไมค์หรอก เบียร์ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เพิ่งตื่นธรรม เข้าใจตรงกันนะ
ระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
อีกอย่างหนึ่ง คำว่า “อาจารย์” เป็นสรรพนามที่เธอออกสื่อสาธารณะแม้กับคนที่อายุมากกว่าเธอ เธอไม่ได้เป็นอาจารย์ของเขา และเขาก็ยังเรียกเธอว่า “น้องเบียร์ๆ” เสียด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเรียกตนเองว่า “อาจารย์ๆ” ได้โดยตลอด ประหนึ่งสถาปนายกตนขึ้นมาเป็นอาจารย์เสียเอง ไม่รู้สึกมีหิริความละอายกระดากปากบ้างเลยหรือ คำว่า “อาจารย์” ควรเป็นคำที่คนยอมรับในตัวเธอเรียก
“สกฺกา มหาราช เตนหิ มหาราช ตญฺเญเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิ ยถา เต ขเมยฺย ตถา ตํ พฺยากเรยฺยาสิ”
“พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ‘อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน’”
องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ เมื่อจะตรัสตอบกับพระเจ้าอาชาตศัตรู ยังทรงใช้พระสรรพนามว่า “อหํ” แปลว่า “อาตมภาพ” มิได้ใช้พระสรรพนามว่า “เราอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” อย่างมากก็ใช้เนมิตกนามว่า “เราตถาคต” แต่ก็ไม่มีนัยยะของอัตตามานะทิฏฐิยกพระองค์ขึ้นข่มคนอื่นแต่อย่างไร
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
เบียร์ ถ้าเธอไลฟ์สดเฉพาะกลุ่มของเธอลูกศิษย์ลูกหาของเธอ ข้อนั้นไม่เป็นไร เธอใช้สรรพนามแทนตนเองว่า “อาจารย์ๆ” หรือ “กูๆ” “มึงๆ” ได้ตามสบายเลย
ช่างไม่รู้มารยาทการแสดงออกทางสื่อสังคมสาธารณะเอาเสียเลย นี้หรือคนตื่นธรรม
มิหนำซ้ำเธอยังกล่าวหาคนที่เห็นต่างไปจากเธอโต้แย้งเถียงกับเธอว่าก็เท่ากับเถียงพระพุทธเจ้า (โอหังบังอาจนัก อ้างพระพุทธเจ้ามาบังหน้าเพื่อเอาตัวรอดไปดื้อๆ) อิจฉาริษยาเธอ
คนกลุ่มหนึ่งก็เอาคลิปของฉันตัดสั้นๆ ไม่ครบความพูดทั้งหมดไปโพสต์ใน TikTok พร้อมกับเขียนตำหนิฉันว่า “พระอิจฉาฆราวาสผู้สอนธรรม” คนพวกนั้นช่างปัญญาตาต่ำเหลือเกิน เธอมีอะไรให้ฉันต้องอิจฉาริษยาหรือ เบียร์
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ฉันเกิดวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓ อายุย่างเข้า ๕๕ ปี สามเณร ๑๐ ปี พระ ๒๓ พรรษา รวมที่อยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์พระพุทธศาสนานี้ ๓๓ ปี พรรษาของฉันมากกว่าท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล อาจารย์ตัวพ่อของเธอเสียอีก
แต่ก็ขออนุโมทนาขอบใจเธอสักเล็กน้อยนะ เบียร์ ที่ยังรู้จักยกมือไหว้พระ นมัสการ ขอบพระคุณ เรียกฉันว่า “พระอาจารย์” อยู่ (ตีหัวแล้วลูบหลัง)
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระมหาภาคภูมิ ศีลานันโท แอบแคปหน้าจอเอาบทความของฉันไปโพสต์ในหน้าวอลล์ของตนเอง เรียกฉันว่า “พระมหาเถระ” และครั้งที่ฉันเขียนถวายวิสัชนาแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ศาสตราจารย์ ดร. อุทิศ ศิริวรรณ ก็แชร์โพสต์ของฉันไป เรียกฉันว่า “พระมหาเถระ” เหมือนกัน เธออายุ ๓๘ ปี น้อยกว่าฉันเกือบ ๒๐ ปี ถ้าอย่างนี้ ฉันพอเป็นรุ่นน้า รุ่นพ่อของเธอได้ไหม เบียร์
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
รู้ตัวหรือเปล่า เบียร์ เธอได้สร้างวจีกรรมที่น่าเป็นห่วงเอาไว้มาก ตามที่เธอพูดเองนั่นแหละว่า “วันนี้กูจะด่าให้ฉ่ำ” ต่อฆราวาสและพระสงฆ์ด้วย
กล่าวเกริ่นมามากพอสมควร เอาละทีนี้เข้าสู่ประเด็นหนังสือพุทธวจน ซึ่งผลิตผลตั้งแต่ต้นมาจากหลวงพ่อพุทธทาส ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอกราบถวายความเคารพแด่พระเดชพระคุณพระธรรมโกศาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาส (อินฺทปญฺโญ) เอาไว้เป็นอย่างสูง
ท่านทั้งหลายได้อ่านบทความที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านต้น พระทวีวัฒน์ ธรรมนาวา ในคราวก่อน คงจำได้ว่า “ข้าพเจ้าเขียนโต้แย้งเฉพาะเหตุผลส่วนตัวของท่านข้อแรก” ยั้งเอาไว้ไม่เขียนในข้อต่อๆ มา ด้วยเหตุแห่งธรรมเนียมปฏิบัติต่อผู้วายชนม์หรือพระภิกษุผู้มรณภาพไปแล้ว ว่า “เราไม่ควรพูดถึงตัวบุคคลในแง่เสีย ควรพูดถึงแต่ในแง่ดีๆ เท่านั้น”
แต่ในบทความครั้งนี้ข้าพเจ้าคงต้องขออนุญาตเขียนถึงตัวบุคคลอะไรบางอย่างสักหน่อย
เรามากล่าวถึงพื้นฐานการศึกษาในทางปริยัติธรรมของตัวบุคคลคือหลวงพ่อพุทธทาสก่อน การศึกษาปริยัติธรรมของหลวงพ่อพุทธทาส จบนักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม ๓ ประโยค มีข้อที่น่าพิจารณาให้ไถ่ถามว่า “พระภิกษุหนุ่มผู้สำเร็จการศึกษานักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม ๓ ประโยค ไม่ถึงขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยคือเปรียญธรรม ๙ ประโยค จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอเพื่อไปแปลอักขระพยัญชนะมาคธีภาษาบาลีในพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐออกมาเป็นภาษาไทยได้ไหม”
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ถามอีกว่า “ศึกษาค้นคว้าอ่านเอาเองจะเข้าใจได้ไหม”
ตอบว่า “พอเข้าใจได้” แต่ก็ถูกๆ ผิดๆ ถูกเอง ผิดเอง ถ้าจะเข้าใจได้ดีถูกต้องจริงๆ ต้องเข้าไปอยู่ในห้องเรียนกับอาจารย์ผู้สอนบาฬีใหญ่ พระเณรเรียนบาฬีใหญ่ใช้เวลาในการท่องสอนเรียนกันนานเท่าไหร่ หลายปีทีเดียว หลายปีมากๆ กว่าจะจบการศึกษาขั้น “ธัมมาจริยะ” (ยังมีขั้นอภิวังสะ สาสนธชะ ปารคู ต่ออีก)
หลวงพ่อใหญ่ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ปรมาจารย์วิปัสสนา บิดาวิปัสสนาในเมืองไทย จบการศึกษาจากพม่าบาฬีใหญ่ ในอายุวัย ๒๗ ปี ซึ่งบวชท่องบาฬีใหญ่ไวยากรณ์มูลกัจจายน์เป็นสามเณรหัวเท่ากำปั้น
ถ้าใช้ความรู้บาลีสนามหลวงของหลวงพ่อพุทธทาสที่จบประโยค ป.ธ. ๓ เพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้าขอตอบได้ทันทีว่า “หมดสิทธิ์” อย่าว่าแต่ประโยค ป.ธ. ๓ เลย แม้จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เอากุญแจประโยค ป.ธ. ๙ ไปไขตู้พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีเปิดออกอ่านก็ติดหลายศัพท์ แปลไม่ออก แปลไม่ได้อยู่หลายศัพท์มาก
ความรู้ในภาษาบาลีของเปรียญธรรม ๙ ประโยค ไม่ถึงขั้นที่จะแปลพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีออกมาเป็นภาษาไทยได้ ได้ก็ได้เพียงบางศัพท์ แต่ไม่ได้ทุกศัพท์ ความรู้ในภาษาบาลีของมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้ในขั้นเอาภาษาบาลีกับภาษาไทยที่ท่านราชบัณฑิยาจารย์ ๓๒ ท่าน มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานแปลเอาไว้แล้วก่อนหน้าตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระไตรปิฎกฉบับหลวง มาเทียบเคียงกัน คือ เปิดกางวางตำรา ๒ เล่มคู่กัน เล่มหนึ่งภาษาบาลี เล่มหนึ่งภาษาไทย แล้วเทียบเคียงตรวจดูคำต่อคำ
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ข้าพเจ้าผู้กำหนดจดจำทุกคำทุกตัวอักษร เช่น สามัญญผลสูตร สงสัยข้อความใดในภาษาไทยทำไมแปลอย่างนี้ ก็ไปเปิดภาษาบาลีตรวจทานดู
ในพรรษาแรกๆ อายุประมาณ ๒๖-๒๗ ปี ข้าพเจ้าไปซื้อหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกผลงานเขียนของหลวงพ่อพุทธทาส ชื่อว่า “ตามรอยพระอรหันต์” เอามาอ่าน เปิดหน้ากระดาษพลิกอ่านไปเรื่อยๆ ได้ไม่ถึง ๑๐ หน้า พอไปเจอข้อความเขียนของหลวงพ่อพุทธทาสประโยคหนึ่งว่า “ตรัสรู้คือคิดเอาจนตรัสรู้” ข้าพเจ้าก็วางหนังสือเล่มนั้นทันที ไม่คิดจะอ่านอีก และทิ้งไปนานแล้ว
ข้าพเจ้าไปซื้อหนังสือเล่มต่อมาของหลวงพ่อพุทธทาส ชื่อ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ….จากพระโอษฐ์ๆ มีอยู่หลายเล่ม อ่านไปถึงกามคุณ ๕ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หลวงพ่อพุทธทาสแปลว่า “มีรสอร่อย” ข้าพเจ้าก็วางหนังสือเล่มนั้นทันทีเช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้ารู้อยู่แล้วว่า คำบาลี คืออะไร คือ “อสฺสาท” ความแปลในพระไตรปิฎกฉบับหลวง “รูปานํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต : ไม่รู้ชัดคุณของรูปทั้งหลายโดยเป็นคุณ” คำแปลในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหามกุฏฯ ฉบับมหาจุฬาฯ ก็อย่างนี้เหมือนกัน
แต่ข้าพเจ้าชอบคำแปลที่อยู่ในอรรถกถาภาษาไทยมากกว่า ท่านแปลคำบาลี “อสฺสาท” ว่า “น่ายินดี”
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ย้อนกลับไปดูคำแปลของหลวงพ่อพุทธทาสที่ว่า “มีรสอร่อย” อีกสักหน่อย ท่านแปลออกมาอย่างนี้ไม่ตรงกับรูปศัพท์เดิมเลย นี้เรียกว่า “มโนแปลเอาเอง แปลเอาตามความชอบใจ แปลตามความเข้าใจของตน”
ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าอ่านเจอข้อความภาษาไทย ๑ ประโยค และคำแปลบาลี ๑ คำ ของหลวงพ่อพุทธทาสนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่คิดที่จะอ่านหนังสือพุทธวจนะ จากพระโอษฐ์ๆ หลายๆ เล่มของหลวงพ่อพุทธทาสอีกเลย
น่าจะเป็นข้อเสียของข้าพเจ้าเอง ถ้าข้าพเจ้าอ่านหรือฟังใครพระรูปใด ฆราวาสคนไหนก็ตาม พูดไม่ตรงกับแหล่งต้นเดิม ข้อมูลเดิมที่อยู่ในพระไตรปิฎก ชนิดที่ว่ามั่วด้นเดาเอาเอง ถูกๆ ผิดๆ แม้แต่อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนามาก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนามหายาน พูดถึงเรื่องพราหมณ์ชูชกว่า “แกจะต้องรีบไปเชตุดรราชธานี จะได้ทรัพย์จากพระเจ้ากรุงสญชัยจำนวนมาก เพราะพระเวสสันดรตีราคาของพระโอรสพระธิดาไว้สูงสุดเลย”
อ้าว มั่วแล้ว อาจารย์เสถียร โพธินันทะ นับแต่นั้นข้าพเจ้าก็ไม่ฟังเสียงบรรยายของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ อีกเลย
รู้สึกว่า ข้าพเจ้าจะเขียนขยายความออกมาหลายหน้ากระดาษแล้ว ประเดี๋ยวคนอ่านจะบ่นเอา ขอยุติบทความตอนที่ ๑ ไว้เท่านี้ก่อนเรื่องที่จะเขียนตามมโนทัศน์ที่วาง concept เอาไว้ยังมีต่อจากนี้ บทความตอนที่ ๒ Coming soon
พระมหาอุเทน โพสต์ซัด อ.เบียร์ คนตื่นธรรม โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า
ห้ามพลาด! 10 อันดับรถหรูในไทย ใครเห็นก็ต้องมอง
หากพูดถึงรถยนต์ในฝันแล้ว ใครหลายคนคงนึกถึงรถซุปเปอร์คาร์ หรือบรรดารถหรูชื่อดังมากมาย อาทิ Lamborghini, Ferrari, Porsche หรือ Rolls-Royce ซึ่งรถยนต์ของแต่ละค่ายต่างก็มีจุดเด่นและเอกลักษณ์มากมายที่ไม่เหมือนกัน โดยจะมีรุ่นไหนแบรนด์อะไรที่ได้รับความนิยมบ้างนั้น วันนี้ APRTECH ได้รวบรวม 10 อันดับรถหรูในไทยที่ใคร ๆ ต่างก็หลงใหล มาฝากทุกคนในบทความนี้แล้วครับ
10 อันดับรถหรูยอดนิยมในไทย
1. Mercedes-Benz
Mercedes-Benz เป็นแบรนด์รถหรูระดับตำนานจากประเทศเยอรมนี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1886 โดย คาร์ล เบนซ์ และ กอตต์ลีบ ไดมเลอร์ ถือได้ว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลก เบนซ์มีชื่อเสียงด้านสมรรถนะ เทคโนโลยีล้ำสมัย และความหรูหรา วัสดุที่ใช้มีคุณภาพสูง เบาะนั่งนุ่มสบาย มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน โดยรุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือ Mercedes-Benz C-Class ราคาเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูทันสมัย สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และราคาที่จับต้องได้ ก็ทำให้รถยนต์คันนี้ได้รับความนิยมตลอดมานับตั้งแต่ปีที่เปิดตัว
2. BMW

หากพูดถึง 10 อันดับรถหรูในไทยแล้ว BMW จะต้องติดหนึ่งในลิสต์ที่เรายกมาอย่างแน่นอน เพราะนี่คือแบรนด์รถหรูจากเยอรมนีอีกแบรนด์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย BMW ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1916 โดยใช้ชื่อย่อมาจาก Bayerische Motoren Werke ซึ่งแปลว่า “โรงงานเครื่องจักรยานยนต์แห่งบาวาเรีย” BMW เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก มีชื่อเสียงในด้านรถยนต์สมรรถนะสูง ดีไซน์สปอร์ต และเทคโนโลยีการขับขี่ที่ล้ำสมัย รุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือ BMW 3 Series ซึ่งเป็นรถซีดานขนาดกลางที่ขึ้นชื่อในด้านสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น คันนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 2.59 ล้านบาท เป็นรถยนต์ที่มีดีไซน์หรูหราสะกดทุกสายตา ภายในห้องโดยสารครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ล้ำสมัย พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปราดเปรียวและเร้าใจ
3. Audi
Audi เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของเยอรมนี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1899 โดยออกัสท์ ฮอร์ค วิศวกรชาวเยอรมัน ซึ่งรถยนต์ของ Audi นั้นมีจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์ภายนอกที่มีความสวยงาม หรูหรา และดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ภายในยังมาพร้อมกับเทคโนโลยียานยนต์อันทันสมัย ทำให้ตัวรถมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก โดยรุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือ Audi Q5 รถอเนกประสงค์ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มครอบครัว มีราคาเริ่มต้นที่ 2.79 ล้านบาท
4. Porsche

Porsche เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติเยอรมัน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1931 โดยแฟร์ดีนันท์ พอร์เชอ ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังชาวออสเตรีย จุดเด่นของ Porsche อยู่ที่ความหรูหราทันสมัย เครื่องยนต์สมรรถนะสูง และรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ รถยนต์ของ Porsche มักถูกใช้เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและความสำเร็จ ส่งผลให้รถยนต์แบรนด์นี้ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักขับและผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตทั่วโลก โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยคือ Porsche 911 รถสปอร์ตระดับตำนานที่เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963 และยังคงผลิตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รถคันนี้มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 12.9 ล้านบาท ถือเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ได้ในทุก ๆ ด้าน
5. Lexus

Lexus เป็นแบรนด์รถพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่นในเครือโตโยต้า ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 ด้วยความมุ่งมั่นต้องการสร้างรถยนต์พรีเมี่ยมคุณภาพสูงที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดระดับโลก และในเวลาไม่นาน Lexus ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนได้รับการยอมรับจากตลาดรถพรีเมี่ยม โดยรุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือ Lexus ES รถซีดานขนาดกลางที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริหาร มีราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท รุ่นนี้มีจุดเด่นที่ดีไซน์หรูหราทันสมัย สมรรถนะภายในยอดเยี่ยม มาพร้อมเทคโนโลยีการขับขี่ที่เน้นความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานครบครัน

6. Volvo

Volvo เป็นแบรนด์รถหรูจากสวีเดน ก่อตั้งขึ้นในปี 1927 โดย อัสซาร์ กาเบรียลส์ซอน และ กุสตาฟ ลาร์สัน Volvo มีชื่อเสียงในด้านความปลอดภัย ความทนทาน และการออกแบบที่หรูหรา ซึ่งทางบริษัทยึดมั่นในปรัชญาความปลอดภัยที่เข้มงวด รถยนต์ของ Volvo ทุกคันจึงติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง เช่น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบควบคุมการทรงตัว (ESP) และระบบป้องกันก่อนชน (PCS) ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แบรนด์รถ Volvo ได้รับความไว้วางใจและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมในไทยมากที่สุด คงหนีไม่พ้น Volvo XC60 รถอเนกประสงค์ขนาดกลางที่มีราคาเริ่มต้นที่ 2.99 ล้านบาท ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
7. MINI

MINI เป็นแบรนด์รถหรูจากอังกฤษที่มีชื่อเสียงในด้านดีไซน์ที่โดดเด่นและประสบการณ์ขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร แม้จะเป็นรถขนาดเล็ก แต่ภายในกลับไม่เล็กตาม เพราะมีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ช่วงล่างที่แน่นหนึบ จนมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมไม่แพ้แบรนด์รถหรูอื่น ๆ โดยรุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือ MINI Cooper Hatchback มีราคาเริ่มต้นที่ 2.19 ล้านบาท รถยนต์รุ่นนี้เป็นรถแฮทช์แบ็กขนาดกลางที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ หากใครที่กำลังมองหารถหรูสมรรถนะดี ที่สามารถขับขี่ในเมืองใหญ่ได้อย่างคล่อง MINI ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม
8. Land Rover

Land Rover เป็นแบรนด์รถหรูสัญชาติอังกฤษที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตรถยนต์ออฟโรด ก่อตั้งขึ้นในปี 1948 Land Rover มีจุดเด่นในด้านของการออกแบบที่ทนทาน มีสมรรถนะการขับขี่ที่สูงจนน่าเหลือเชื่อ และรูปลักษณ์ที่คงความคลาสสิกตลอดกาล โดยรุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือ Range Rover Sport รถอเนกประสงค์ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ชื่นชอบรถออฟโรด รถยนต์รุ่นนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 6.59 ล้านบาท นับเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่คู่ควรจะอยู่ในลิสต์ 10 อันดับรถหรูในไทยอย่างไม่ต้องสงสัย
9. Bentley

Bentley เป็นแบรนด์รถหรูสุดพรีเมี่ยมจากเกาะอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1919 โดย วอลเตอร์ โอเว่น เบนท์ลีย์ Bentley มีชื่อเสียงในด้านในด้านการผลิตรถยนต์หรูหราสมรรถนะสูงที่ไม่เป็นสองรองใคร เป็นที่รู้จักในด้านของคุณภาพ วัสดุที่ใช้ และความประณีตของงานประกอบ Bentley เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักในไทยคือ Bentley Continental GT มีราคาเริ่มต้นที่ 27 ล้านบาท เป็นรถสปอร์ตคูเป้ระดับตำนานที่มีสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ดีไซน์ที่หรูหราทั้งภายในและภายนอก พร้อมสะกดทุกสายตาเมื่อออกวิ่งบนท้องถนน
10. Rolls-Royce

แน่นอนว่า Rolls-Royce จะต้องติด 1 ใน 10 อันดับรถหรูในไทยที่เราจัดอย่างแน่นอน เพราะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถหรูระดับสุดยอดจากอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงและมีความเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ สมรรถนะการขับขี่ หรือเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมระดับโลก โดยรุ่นที่เป็นที่รู้จักในไทยมากที่สุดคือ Rolls-Royce Ghost รถซีดานหรูสุดพรีเมี่ยมที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มคนดังและนักธุรกิจ ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน มาพร้อมดีไซน์ที่หรูหราทั้งภายในและภายนอก จึงมีราคาเริ่มต้นสูงถึง 42 ล้านบาทเลยทีเดียว
เคล็ดไม่(ลับ)ดูแลรถหรูจอดนาน ด้วย CTEK จากสวีเดน
สำหรับคนรักรถแล้วการได้ครอบครองรถที่สวยงาม สมรรถนะเป็นเลิศนั้นเป็นความสุขทางใจ และยากที่จะมีแค่คันเดียว เมื่อซื้อคันใหม่มา คันเก่าก็ขายไม่ลง รถแต่ละคันก็มีวัตถุประสงค์การใช้งานต่างกัน การมีรถหลายคันจึงเป็นเรื่องธรรมดา รถหรูคันที่คุณชอบที่สุดอาจไม่ได้เป็นรถที่คุณขับบ่อยที่สุด ยิ่งหากคุณมีรถหลายคัน บางคันอาจไม่ได้ขับนานเป็นเดือนเลยที่เดียว พอจะเอาไปขับก็สตาร์ทไม่ติดแล้ว เป็นปัญหา ยุ่งยากน่าหงุดหงิด เสียอารมณ์ เสียเวลา น่ารำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง
สาเหตุเป็นเพราะแบตเตอรี่คายประจุไฟตลอดเวลาโดยไม่ได้รับการเติมกลับเข้าไปในช่วงที่จอดทิ้งไว้ หากไม่ได้ขับเป็นเวลา1 เดือน แบตเตอรี่ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ก็อาจสตาร์ทไม่ติดแล้ว หากจอดทิ้งไว้ 3 เดือน แบตเตอรี่ก็อาจเสื่อมสภาพจนไม่สามารถใช้งานได้ในที่สุด และอาจเกิดผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า ที่ราคาค่าซ่อมหลักหมื่นหรือหลักแสนเลยทีเดียว
วิธีแก้ปัญหาเรื่องรถสตาร์ทไม่ติดก็มีหลายวิธีตามความสะดวกของแต่ละคน แต่วิธีที่ฉลาดที่สุดในการป้องกันปัญหารถสตาร์ทไม่ติดที่อยากแนะนำคือการใช้เครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ แต่การเลือกเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ ไม่ใช่จะเลือกยี่ห้ออะไรก็ได้ หรือเลือกราคาที่ถูกที่สุด เพราะเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่ราคาถูกแต่ไม่ได้คุณภาพ อาจทำให้แบตเตอรี่หรือระบบอิเลคโทรนิกส์อันละเอียดอ่อนของรถของคุณเสียหาย เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่า เลือกเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐาน คุณภาพสูง ใช้งานได้ทนทานนานคุ้มค่าทีเดียวจบ
เครื่องชาร์จแบตเตอรี่อัจฉริยะสำหรับรถยนต์ CTEK จากประเทศสวีเดน เป็นตัวช่วยที่เจ้าของรถสายจอดต่างเลือกใช้ เพราะค่ายรถยนต์ชั้นนำต่างไว้วางใจ นอกจากให้ CTEK ผลิตให้ภายใต้แบรนด์ของตัวเองแล้ว ยังไว้วางใจให้ CTEK ดูแลแบตเตอรี่ระหว่างออกงานแสดงใหญ่เช่น งาน Motor Expo, Motorshow
การดูแลแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดคือการชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่ตลอดเวลา CTEK จากสวีเดน ช่วยดูแลแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเอารถไปวนขับ หรือคอยสตาร์ทรถให้เสียเวลา และ CTEK เป็นเจ้าของเทคโนโลยีลิขสิทธิ์การชาร์จที่ปลอดภัยต่อแบตเตอรี่ ระบบไฟภายในรถ และต่อผู้ใช้งาน เพียงแค่เสียบปลั๊กไฟบ้านแล้วคีบขั้วแบตเตอรี่หรือแบตเตอรี่ Terminal โดยไม่ต้องถอดขั้วแบตเตอรี่ หรือ ยกแบตเตอรี่ออกจากรถ CTEK ก็จะชาร์จแบตเตอรี่รถของคุณให้เต็มโดยอัตโนมัติเหมือนชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือโดยที่คุณไม่ต้องเฝ้า คุณสามารถชาร์จทิ้งไว้ได้เป็นเดือนโดยไม่ทำให้แบตเตอรี่เสีย ไม่ต้องคอยสตาร์ทหรือเอารถไปวนขับให้สิ้นเปลืองน้ำมันอีกต่อไป