“พระมหาอุเทน”ฟาด”คนตื่นธรรม”เด็กเมื่อวานซืน โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า

“พระมหาอุเทน” ปัญญาปริทัตต์ พระนักเทศน์-นักเขียน วัดชนะสงคราม วรมหาวิหาร ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค ถึง อาจารเบียร์ คนตื่นธรรม เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเพิ่งตื่นธรรม มีชื่อดังไม่นานมานี้เอง เธอทำตนเป็นบุคคลสาธารณะมิใช่หรือ โดยไลฟ์สดให้คนทั่วทั้งโลกได้รับชมและรับฟังการพูดของเธอ โอหังใช้พระพุทธเจ้าบังหน้า พร้อมเผยว่า รู้ตัวหรือเปล่า เบียร์ เธอได้สร้างวจีกรรมที่น่าเป็นห่วงเอาไว้มาก ตามที่เธอพูดเองนั่นแหละว่า “วันนี้กูจะด่าให้ฉ่ำ” ต่อฆราวาสและพระสงฆ์ด้วย

โดย พระมหาอุเทน โพสต์ใจความว่า บทความเขียนตอนที่ ๑ ต้นไม้มีพิษก็ออกผลผิดลูกหลานเป็นพิษพูดผิดประพฤติผิดตามกันมา พุทธวจนะเริ่มต้นจากพุทธทาส – คึกฤทธิ์ – เบียร์ คนเพิ่งตื่นธรรม
ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดของการแก้ปัญหาหนังสือพุทธจนให้ถูกต้นตอตามหลักของอริยสัจสี่ ทุกขสัจ : ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส แก้ที่สมุทัยเหตุเกิดทุกข์ : กามตัญหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงจะบรรลุถึงนิโรธสัจดับสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงตัดรากถอนโคน (สมุจเฉทประหาณ) ข้าพเจ้าขอกล่าว
แก้สติปัญญาของเบียร์ (ทราบชื่อจริงว่า “ณัฐพงษ์”) คนตื่นธรรมที่เรียกร้องให้ข้าพเจ้าโทรติดต่อไปถึงเขาเพื่อพูดคุยตักเตือนหลังไมค์ ไม่ใช่มาพูดออกสื่อเป็นสาธารณะแบบนี้ และยังตำหนิฟาดกลับข้าพเจ้าว่า “ถือเป็นการนินทา ไม่มีมารยาท ไม่ได้ประโยชน์”
เบียร์ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเพิ่งตื่นธรรม มีชื่อดังไม่นานมานี้เอง เธอทำตนเป็นบุคคลสาธารณะมิใช่หรือ โดยไลฟ์สดให้คนทั่วทั้งโลกได้รับชมและรับฟังการพูดของเธอ
เมื่อเธอทำตนเป็นบุคคลสาธารณะพูดออกไปไลฟ์สดเป็นสาธารณะอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนทั่วไปจะพูดวิพากษ์วิจารณ์เธอแบบสาธารณะ ไม่มีใครไปขออนุญาตเธอก่อนที่จะพูดวิพากษ์วิจารณ์เธอหรอก ไม่มีใครที่จะไปพูดกับเธอตักเตือนหรือตำหนิติเตียนหลังไมค์หรอก เบียร์ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เพิ่งตื่นธรรม เข้าใจตรงกันนะ
อีกอย่างหนึ่ง คำว่า “อาจารย์” เป็นสรรพนามที่เธอออกสื่อสาธารณะแม้กับคนที่อายุมากกว่าเธอ เธอไม่ได้เป็นอาจารย์ของเขา และเขาก็ยังเรียกเธอว่า “น้องเบียร์ๆ” เสียด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเรียกตนเองว่า “อาจารย์ๆ” ได้โดยตลอด ประหนึ่งสถาปนายกตนขึ้นมาเป็นอาจารย์เสียเอง ไม่รู้สึกมีหิริความละอายกระดากปากบ้างเลยหรือ คำว่า “อาจารย์” ควรเป็นคำที่คนยอมรับในตัวเธอเรียก
“สกฺกา มหาราช เตนหิ มหาราช ตญฺเญเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิ ยถา เต ขเมยฺย ตถา ตํ พฺยากเรยฺยาสิ”
“พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ‘อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน’”
องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ เมื่อจะตรัสตอบกับพระเจ้าอาชาตศัตรู ยังทรงใช้พระสรรพนามว่า “อหํ” แปลว่า “อาตมภาพ” มิได้ใช้พระสรรพนามว่า “เราอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” อย่างมากก็ใช้เนมิตกนามว่า “เราตถาคต” แต่ก็ไม่มีนัยยะของอัตตามานะทิฏฐิยกพระองค์ขึ้นข่มคนอื่นแต่อย่างไร
เบียร์ ถ้าเธอไลฟ์สดเฉพาะกลุ่มของเธอลูกศิษย์ลูกหาของเธอ ข้อนั้นไม่เป็นไร เธอใช้สรรพนามแทนตนเองว่า “อาจารย์ๆ” หรือ “กูๆ” “มึงๆ” ได้ตามสบายเลย
ช่างไม่รู้มารยาทการแสดงออกทางสื่อสังคมสาธารณะเอาเสียเลย นี้หรือคนตื่นธรรม
มิหนำซ้ำเธอยังกล่าวหาคนที่เห็นต่างไปจากเธอโต้แย้งเถียงกับเธอว่าก็เท่ากับเถียงพระพุทธเจ้า (โอหังบังอาจนัก อ้างพระพุทธเจ้ามาบังหน้าเพื่อเอาตัวรอดไปดื้อๆ) อิจฉาริษยาเธอ
คนกลุ่มหนึ่งก็เอาคลิปของฉันตัดสั้นๆ ไม่ครบความพูดทั้งหมดไปโพสต์ใน TikTok พร้อมกับเขียนตำหนิฉันว่า “พระอิจฉาฆราวาสผู้สอนธรรม” คนพวกนั้นช่างปัญญาตาต่ำเหลือเกิน เธอมีอะไรให้ฉันต้องอิจฉาริษยาหรือ เบียร์
ฉันเกิดวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓ อายุย่างเข้า ๕๕ ปี สามเณร ๑๐ ปี พระ ๒๓ พรรษา รวมที่อยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์พระพุทธศาสนานี้ ๓๓ ปี พรรษาของฉันมากกว่าท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล อาจารย์ตัวพ่อของเธอเสียอีก
แต่ก็ขออนุโมทนาขอบใจเธอสักเล็กน้อยนะ เบียร์ ที่ยังรู้จักยกมือไหว้พระ นมัสการ ขอบพระคุณ เรียกฉันว่า “พระอาจารย์” อยู่ (ตีหัวแล้วลูบหลัง)
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระมหาภาคภูมิ ศีลานันโท แอบแคปหน้าจอเอาบทความของฉันไปโพสต์ในหน้าวอลล์ของตนเอง เรียกฉันว่า “พระมหาเถระ” และครั้งที่ฉันเขียนถวายวิสัชนาแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ศาสตราจารย์ ดร. อุทิศ ศิริวรรณ ก็แชร์โพสต์ของฉันไป เรียกฉันว่า “พระมหาเถระ” เหมือนกัน เธออายุ ๓๘ ปี น้อยกว่าฉันเกือบ ๒๐ ปี ถ้าอย่างนี้ ฉันพอเป็นรุ่นน้า รุ่นพ่อของเธอได้ไหม เบียร์
รู้ตัวหรือเปล่า เบียร์ เธอได้สร้างวจีกรรมที่น่าเป็นห่วงเอาไว้มาก ตามที่เธอพูดเองนั่นแหละว่า “วันนี้กูจะด่าให้ฉ่ำ” ต่อฆราวาสและพระสงฆ์ด้วย
กล่าวเกริ่นมามากพอสมควร เอาละทีนี้เข้าสู่ประเด็นหนังสือพุทธวจน ซึ่งผลิตผลตั้งแต่ต้นมาจากหลวงพ่อพุทธทาส ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอกราบถวายความเคารพแด่พระเดชพระคุณพระธรรมโกศาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาส (อินฺทปญฺโญ) เอาไว้เป็นอย่างสูง
ท่านทั้งหลายได้อ่านบทความที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านต้น พระทวีวัฒน์ ธรรมนาวา ในคราวก่อน คงจำได้ว่า “ข้าพเจ้าเขียนโต้แย้งเฉพาะเหตุผลส่วนตัวของท่านข้อแรก” ยั้งเอาไว้ไม่เขียนในข้อต่อๆ มา ด้วยเหตุแห่งธรรมเนียมปฏิบัติต่อผู้วายชนม์หรือพระภิกษุผู้มรณภาพไปแล้ว ว่า “เราไม่ควรพูดถึงตัวบุคคลในแง่เสีย ควรพูดถึงแต่ในแง่ดีๆ เท่านั้น”
แต่ในบทความครั้งนี้ข้าพเจ้าคงต้องขออนุญาตเขียนถึงตัวบุคคลอะไรบางอย่างสักหน่อย
เรามากล่าวถึงพื้นฐานการศึกษาในทางปริยัติธรรมของตัวบุคคลคือหลวงพ่อพุทธทาสก่อน การศึกษาปริยัติธรรมของหลวงพ่อพุทธทาส จบนักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม ๓ ประโยค มีข้อที่น่าพิจารณาให้ไถ่ถามว่า “พระภิกษุหนุ่มผู้สำเร็จการศึกษานักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม ๓ ประโยค ไม่ถึงขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยคือเปรียญธรรม ๙ ประโยค จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอเพื่อไปแปลอักขระพยัญชนะมาคธีภาษาบาลีในพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐออกมาเป็นภาษาไทยได้ไหม”
ตอบว่า “อาจสามารถอยู่” แต่ต้องแลกด้วยวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้าไปศึกษาค้นคว้าหาศัพท์ในคัมภีร์บาฬีใหญ่ กลุ่มสัททาวิเสส เช่น ปทรูปสิทธิ อภิธานัปปทีปิกา
ถามอีกว่า “ศึกษาค้นคว้าอ่านเอาเองจะเข้าใจได้ไหม”
ตอบว่า “พอเข้าใจได้” แต่ก็ถูกๆ ผิดๆ ถูกเอง ผิดเอง ถ้าจะเข้าใจได้ดีถูกต้องจริงๆ ต้องเข้าไปอยู่ในห้องเรียนกับอาจารย์ผู้สอนบาฬีใหญ่ พระเณรเรียนบาฬีใหญ่ใช้เวลาในการท่องสอนเรียนกันนานเท่าไหร่ หลายปีทีเดียว หลายปีมากๆ กว่าจะจบการศึกษาขั้น “ธัมมาจริยะ” (ยังมีขั้นอภิวังสะ สาสนธชะ ปารคู ต่ออีก)
หลวงพ่อใหญ่ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ปรมาจารย์วิปัสสนา บิดาวิปัสสนาในเมืองไทย จบการศึกษาจากพม่าบาฬีใหญ่ ในอายุวัย ๒๗ ปี ซึ่งบวชท่องบาฬีใหญ่ไวยากรณ์มูลกัจจายน์เป็นสามเณรหัวเท่ากำปั้น
ถ้าใช้ความรู้บาลีสนามหลวงของหลวงพ่อพุทธทาสที่จบประโยค ป.ธ. ๓ เพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้าขอตอบได้ทันทีว่า “หมดสิทธิ์” อย่าว่าแต่ประโยค ป.ธ. ๓ เลย แม้จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เอากุญแจประโยค ป.ธ. ๙ ไปไขตู้พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีเปิดออกอ่านก็ติดหลายศัพท์ แปลไม่ออก แปลไม่ได้อยู่หลายศัพท์มาก
ความรู้ในภาษาบาลีของเปรียญธรรม ๙ ประโยค ไม่ถึงขั้นที่จะแปลพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีออกมาเป็นภาษาไทยได้ ได้ก็ได้เพียงบางศัพท์ แต่ไม่ได้ทุกศัพท์ ความรู้ในภาษาบาลีของมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้ในขั้นเอาภาษาบาลีกับภาษาไทยที่ท่านราชบัณฑิยาจารย์ ๓๒ ท่าน มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานแปลเอาไว้แล้วก่อนหน้าตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระไตรปิฎกฉบับหลวง มาเทียบเคียงกัน คือ เปิดกางวางตำรา ๒ เล่มคู่กัน เล่มหนึ่งภาษาบาลี เล่มหนึ่งภาษาไทย แล้วเทียบเคียงตรวจดูคำต่อคำ
ข้าพเจ้าผู้กำหนดจดจำทุกคำทุกตัวอักษร เช่น สามัญญผลสูตร สงสัยข้อความใดในภาษาไทยทำไมแปลอย่างนี้ ก็ไปเปิดภาษาบาลีตรวจทานดู
ในพรรษาแรกๆ อายุประมาณ ๒๖-๒๗ ปี ข้าพเจ้าไปซื้อหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกผลงานเขียนของหลวงพ่อพุทธทาส ชื่อว่า “ตามรอยพระอรหันต์” เอามาอ่าน เปิดหน้ากระดาษพลิกอ่านไปเรื่อยๆ ได้ไม่ถึง ๑๐ หน้า พอไปเจอข้อความเขียนของหลวงพ่อพุทธทาสประโยคหนึ่งว่า “ตรัสรู้คือคิดเอาจนตรัสรู้” ข้าพเจ้าก็วางหนังสือเล่มนั้นทันที ไม่คิดจะอ่านอีก และทิ้งไปนานแล้ว
ข้าพเจ้าไปซื้อหนังสือเล่มต่อมาของหลวงพ่อพุทธทาส ชื่อ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ….จากพระโอษฐ์ๆ มีอยู่หลายเล่ม อ่านไปถึงกามคุณ ๕ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หลวงพ่อพุทธทาสแปลว่า “มีรสอร่อย” ข้าพเจ้าก็วางหนังสือเล่มนั้นทันทีเช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้ารู้อยู่แล้วว่า คำบาลี คืออะไร คือ “อสฺสาท” ความแปลในพระไตรปิฎกฉบับหลวง “รูปานํ อสฺสาทญฺจ อสฺสาทโต : ไม่รู้ชัดคุณของรูปทั้งหลายโดยเป็นคุณ” คำแปลในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหามกุฏฯ ฉบับมหาจุฬาฯ ก็อย่างนี้เหมือนกัน
แต่ข้าพเจ้าชอบคำแปลที่อยู่ในอรรถกถาภาษาไทยมากกว่า ท่านแปลคำบาลี “อสฺสาท” ว่า “น่ายินดี”
ย้อนกลับไปดูคำแปลของหลวงพ่อพุทธทาสที่ว่า “มีรสอร่อย” อีกสักหน่อย ท่านแปลออกมาอย่างนี้ไม่ตรงกับรูปศัพท์เดิมเลย นี้เรียกว่า “มโนแปลเอาเอง แปลเอาตามความชอบใจ แปลตามความเข้าใจของตน”
ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าอ่านเจอข้อความภาษาไทย ๑ ประโยค และคำแปลบาลี ๑ คำ ของหลวงพ่อพุทธทาสนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่คิดที่จะอ่านหนังสือพุทธวจนะ จากพระโอษฐ์ๆ หลายๆ เล่มของหลวงพ่อพุทธทาสอีกเลย
น่าจะเป็นข้อเสียของข้าพเจ้าเอง ถ้าข้าพเจ้าอ่านหรือฟังใครพระรูปใด ฆราวาสคนไหนก็ตาม พูดไม่ตรงกับแหล่งต้นเดิม ข้อมูลเดิมที่อยู่ในพระไตรปิฎก ชนิดที่ว่ามั่วด้นเดาเอาเอง ถูกๆ ผิดๆ แม้แต่อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนามาก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนามหายาน พูดถึงเรื่องพราหมณ์ชูชกว่า “แกจะต้องรีบไปเชตุดรราชธานี จะได้ทรัพย์จากพระเจ้ากรุงสญชัยจำนวนมาก เพราะพระเวสสันดรตีราคาของพระโอรสพระธิดาไว้สูงสุดเลย”
อ้าว มั่วแล้ว อาจารย์เสถียร โพธินันทะ นับแต่นั้นข้าพเจ้าก็ไม่ฟังเสียงบรรยายของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ อีกเลย
รู้สึกว่า ข้าพเจ้าจะเขียนขยายความออกมาหลายหน้ากระดาษแล้ว ประเดี๋ยวคนอ่านจะบ่นเอา ขอยุติบทความตอนที่ ๑ ไว้เท่านี้ก่อนเรื่องที่จะเขียนตามมโนทัศน์ที่วาง concept เอาไว้ยังมีต่อจากนี้ บทความตอนที่ ๒ Coming soon
10 อันดับแบรนด์รถยนต์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย มีแบรนด์อะไรบ้าง ?

หัวข้อที่น่าสนใจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันมี แบรนด์รถยนต์ ให้เลือกซื้อและจับจองเป็นเจ้าของมากมาย อาจทำให้หลายคนสับสน และไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกซื้อแบรนด์ไหนดี ที่น่าเชื่อถือ แล้วแบบไหนคือ “เชื่อถือได้” ต้องดูจากตรงไหน มิสเตอร์ คุ้มค่า รวมคำตอบประเด็นต่าง ๆ มาให้แล้ว พร้อมกับลิสต์ 10 อันดับแบรนด์รถที่ไว้ใจ/เชื่อถือได้ มาให้คุณได้ทำความรู้จักคร่าว ๆ ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย !
“ความน่าเชื่อถือ” ของ แบรนด์รถยนต์ วัดจากอะไร ?
ถ้าหากพูดถึง “ความน่าเชื่อถือ” หลายคนอาจมองว่าแบรนด์นั้น หรือแบรนด์นี้ มีความน่าเชื่อถือแตกต่างกันออกไป บางแบรนด์ที่ผู้เชี่ยวชาญลิสต์ออกมาอาจไม่ตรงตามความคิดหรือความรู้สึกของคุณ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ แล้วจริง ๆ สามารถเชื่อถือได้จริงไหม ?
คำตอบคือ “ชื่อถือได้แน่นอน” เพราะผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ได้ทำการ “สำรวจประชากร” ด้วยการทำการทดสอบและใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา ว่ารถแบรนด์ไหนน่าเชื่อถือที่สุด
ซึ่งเกณฑ์การให้คะแนนจะรวบรวมส่วนต่าง ๆ เช่น งบประมาณของประเภทรถยนต์ ความสามารถในการข้ามประเทศ มาทำการประเมินความน่าเชื่อถือ ถ้ายังมองภาพไม่ออกเรามาดู “คำจำกัดความ” ของความน่าเชื่อถือของรถยนต์กันเลยดีกว่า
คำจำกัดความ “ความน่าเชื่อถือ” ของรถยนต์
ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย มีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น และรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ที่ทำให้รถยนต์นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความรู้สึก และความน่าเชื่อถือของผู้ใช้ (ลูกค้า) ที่ใช้การประเมินคุณภาพรถยนต์แต่ละแบรนด์ แต่ละรุ่น ซึ่งปัจจัยที่ว่า บางส่วน คือ “ประสิทธิภาพและความสะดวกสบายของตัวรถ รวมถึงราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย สวยงาม และสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย”
เช็กลิสต์ 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ ที่น่าเชื่อถือ
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหารถยนต์สักคัน ที่พร้อมจะร่วมทางกับคุณไปอีกนานแสนนาน มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้ลิสต์ 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ที่น่าเชื่อถือ มาให้คุณนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

- 1. Toyotaแบรนด์รถยนต์แนะนำที่แสนโด่งดัง ที่ไม่ใช่แค่ได้รับความนิยมในไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากอุตสาหกรรมทอผ้า และได้มีการถูกถ่ายโอนและขายสิทธิบัตรให้กับบริษัทในประเทศอังกฤษ จวบจนปี ค.ศ.1933-1935 ก็ถือเป็นช่วงที่แบรนด์ Toyoda ถือกำเนิดขึ้น และรถยนต์รุ่นแรกคือ A1 รถยนต์ขนาดเล็ก และ G1 รถบรรทุกแม้ว่าทั้ง 2 รุ่น จะจัดจำหน่ายในช่วงที่สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างแปรปรวน แต่ยอดขายกลับสวนทางแบบสุดโต่ง สร้างกำไรให้กับบริษัทเป็นจำนวนมาก จนสามารถนำเม็ดเงินเหล่านั้นไปต่อยอดสู่รถยนต์รุ่นอื่น ๆ เป็นลำดับต่อไปจะเห็นได้ว่าก่อนที่ Toyata จะได้รับความนิยมในปัจจุบัน แบรนด์นี้ได้รับความนิยมตั้งแต่ตอนที่ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Toyada แต่ในท้าทายที่สุดได้เปลี่ยนมาเป็น Toyota แบรนด์รถยอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการสื่อถึง Infinity พร้อมเปิดตัวโลโก้ 3 ห่วง โดยวงรีทั้ง 2 วงที่ซ้อนกัน หมายถึงการผลึกร่วมหัวใจ 2 ดวง ได้แก่ หัวใจของผู้ใช้รถและหัวใจของรถโตโยต้า และวงรีใหญ่ที่สื่อถึงการขยายตัว หมายถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของรถยนต์ยุคใหม่ ที่จะก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
- 2. Isuzuเริ่มแรกถูกก่อตั้งในชื่อ Tokyo Ishikawajima Shipbuilding & Engineering Company ต่อมาได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรบริษัทยานยนต์สัญชาติอังกฤษ Wolseley Motors Limited และผลิตรถยนต์โดยสารคันแรกสำเร็จ ในปี ค.ศ.1922 ใช้ชื่อว่า Wolseley A9 จากความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้บริษัทผลิตรถบรรทุกรุ่นต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
- 3. Hondaแบรนด์รถยนต์ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาจักรยานยนต์แบบติดเครื่องยนต์ และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ถูกนำไปลงสนามประลอง F1 ณ ประเทศฝรั่งเศส หลังจากกวาดรางวัลชนะเลิศกลับมาทำให้แบรนด์ตลาดโด่งดัง และกลับมาพร้อมกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง Handa Civic ในตำนาน มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้เทคโนโลยี CVCC ซึ่งช่วยลดมลพิษทางอากาศ และ 4 ปีให้หลังก็ได้เปิดตัวรถยนต์อีกรุ่นในตำนานอย่าง Honda Accord
- 4. Mitsubishiอีกหนึ่งแบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ในไทย โดยเริ่มต้นจากธุรกิจอื่น อย่าง “บริษัทขนส่งสินค้า” จากนั้นได้ผันตัวมาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ผลิตรถโดยสารครั้งแรก ในปี ค.ศ.1917 ต่อมาในปี ค.ศ.1970 แผนกยานยนต์ได้แยกตัวจากบริษัทแม่ มาโฟกัสที่รถยนต์อย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Mitsubishi ในปัจจุบัน
- 5. MGแบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษสายเลือดจีนที่ค่อนข้างใหม่ในตลาดบ้านเรา แต่สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และความน่าสนใจให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์รถยนต์ในเมืองไทยเป็นอย่างมากในช่วง 10 ปีรุ่นสร้างชื่อคือ EX120 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงประลองในสนามแข่งโดยเฉพาะ ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการผลิตรุ่น K3 Magnette รุ่นที่สร้างชื่อให้กับ MG อย่างท่วมท้น เพราะสามารถเอาชนะ Ferrari ได้ที่ความเร็ว 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นได้มีการผลิตรถยนต์รุ่นต่าง ๆ สู่ตลาด ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย และโครงสร้างเหล็กที่แข็งแรง ทำยอดขายได้มากถึง 1 แสนคัน แม้ตอนนี้หลายคนจะมีภาพจำกับแบรนด์นี้ว่าเป็นรถจีนซะมากกว่า แต่ MG ยังคงสร้างชื่อในเมืองไทยด้วยการเป็นหนึ่งในแบรนด์จากจีนชั้นนำเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า กับตัวเลือกหลาย ๆ รุ่นที่เป็นรถ EV
- 6. Fordเปิดตัวรถยนต์คันแรกชื่อว่า Ford Quadricycle ต่อมาได้ผลิตรถยนต์ Ford Model T หรือรถยนต์รุ่นบุกเบิก ออกวางจำหน่ายในราคาเพียง 360 ดอลลาร์ ที่ได้รับการตอบรับดีเกินคาด เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม แข็งแรง ราคาจับต้องได้ โดยสามารถทำยอดขายได้ถึง 15 ล้านคัน
- 7. Mazdaเปิดตำนานด้วยรถคันแรกอย่างรถสามล้อ ชื่อว่า Green Panel จนได้รับความนิยม ต่อมาได้มีการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมด้วยเครื่องยนต์โรตารี่ นับเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายเดียวของโลก ที่ใช้เครื่องยนต์ประเภทนี้เสริมจากเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในตลาดจวบจนปัจจุบัน เริ่มจากรถสปอร์ตรุ่น Cosmo 110S ส่งต่อตำนานสู่ RX-7 และ RX-8ต่อมาในปี ค.ศ.1989 ก็ได้ถือกำเนิดการกลับมาของตำนานรถสปอร์ตโรดสเตอร์ หลังจากที่ไม่มีผู้ผลิตรายใดผลิตรถสปอร์ตโรดสเตอร์ออกมาเลย ทาง Mazda จึงได้ทำการคิดค้นและพัฒนารถสปอร์ตโรดสเตอร์อีกครั้ง จนได้มาเป็น MX-5 ซึ่งนับเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลก
- 8. Nissanเริ่มแรกเดิมทีก่อตั้งขึ้นในนามบริษัท Dat Jidosha Seizo และเปลี่ยนชื่อมาเป็น Nissan Motor Co. ในปี ค.ศ.1934 รวมถึงเปิดตัวรถยนต์ครั้งแรกอย่าง Datsun 14 และมีการผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก หน่วยกำลังสำหรับกองทัพ เช่น เครื่องบิน เครื่องยนต์ให้แก่กองกำลังทหารญี่ปุ่น และกลับมาแข็งแรงอีกครั้งในปี ค.ศ.1947 พร้อมกับมุ่งผลิตรถรุ่น Datsun คิดค้นเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จนได้มาเป็น Nissan Datsun 240 Z รถสปอร์ตคันแรก ที่สร้างปรากฏการณ์ในด้านยอดขายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
- 9. Suzukiเริ่มต้นจากบริษัททอผ้า และได้ขยายขอบเขตการผลิต แตกผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ออกมา จนก่อให้เกิดการผลิตต้นแบบยานยนต์ในปี ค.ศ.1939 แต่ต้องชะงักลง เมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วหันกลับมาเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องทอผ้าอย่างเดิม หลังจากสิ้นสุดยุคอุตสาหกรรมฝ่ายในญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1951 ทางแบรนด์ได้หันมาผลิตรถจักรยานยนต์และรถยนต์ และได้ถือกำเนิด Suzuki Motor Co., Ltd รวมถึงเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกอย่าง Suzuki Suzulight
- 10. Hinoแม้จะไม่มีรุ่นรถที่เป็นเก๋งส่วนบุคคล แต่คุ้นชื่อกันดีเรื่องรถบรรทุก Hino เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1910 โดยมีรากฐานมาจากอุตสาหกรรมก๊าซ ในนามของ Tokyo Gas and Electric Industry และได้มีการขยายการผลิตมายังชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมีการผลิตยานยนต์คันแรกในปี ค.ศ.1917 คือรถบรรทุกรุ่น TGE “A-Type จากนั้นได้มีการร่วมมือพับพันธมิตรในปี ค.ศ.1937 เพื่อจัดตั้ง Tokyo Automobile Industry จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น Diesel Motor Industry และถือเนิดบริษัทใหม่ในนาม Hino ในปี ค.ศ.1942
ทั้งหมดนี้คือ 10 ยี่ห้อรถที่น่าเชื่อถือ ที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้น มีประวัติและจุดเริ่มต้นมาอย่างยาวนานมากเลยใช่ไหมล่ะ ? แถมในปัจจุบันยังมีศูนย์บริการรถยนต์เยอะที่สุดอีกด้วย หมดห่วงเรื่องการเข้าใช้บริการตรวจเช็ค นำรถจัดซ่อมได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ นอกจากการเลือกแบรนด์รถยนต์ที่น่าเชื่อถือแล้ว การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองอย่างครอบคลุม ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันอีกด้วย ถ้าไม่รู้ว่ารถของคุณเหมาะกับประกันภัยแบบไหน ปรึกษาหรือเปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้ตลอดเวลา