เงินเดือนข้าราชการ 18,000 บาท ปรับวันไหน
พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา โดย พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 กำหนดรายละเอียด วงเงินที่จะนำมาใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ กลุ่มแรกบรรจุ ที่มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี ภายใต้วงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ซึ่งตั้งไว้จำนวน 842,001 ล้านบาท
ในรายละเอียดวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ปีงบประมาณ 2568 ได้กำหนดรายการที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินข้าราชการ ไว้ดังนี้
เงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ตั้งไว้วงเงิน 13,000 ล้านบาท
เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ ตั้งไว้วงเงิน 5,000 ล้านบาท
เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ตั้งไว้วงเงิน 354,500 ล้านบาท
เงินสมทบลูกจ้างประจำ ตั้งไว้วงเงิน 370 ล้านบาท
เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ ตั้งไว้วงเงิน 82,775 ล้านบาท
การปรับเงินเดือนข้าราชการ แรกบรรจุ ให้มีอัตราเงินเดือนในระดับปริญญาตรี อยู่ที่เดือนละ 18,000 บาท ภายใน 2 ปี ตามนโยบายของรัฐบาล กำหนดระยะเวลาไว้หลังจากปรับเพิ่มเงินเดือนขึ้นมาครั้งแรกแล้วในปีงบประมาณ 2567 มีผลตั้งแต่ 1 พ.ค. 68 เป็นต้นไป
อัตราเงินเดือนข้าราชการ บรรจุใหม่ ในปีงบประมาณ 2568 โดยได้รับเงิน 18,000 บาทต่อเดือน แยกเป็นรายกลุ่มตามวุฒิการศึกษา ดังนี้
วุฒิการศึกษา ปวช.
ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 10,340-11,380 บาท
ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 11,380-12,520 บาท
วุฒิการศึกษา ปวส.
ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 12,650-13,920 บาท
ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 13,920-15,320 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี
ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 16,500-18,150 บาท
ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 18,150-19,970 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาโท
ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 19,250-21,180 บาท
ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 21,180-23,300 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาเอก
ปีงบประมาณ 2567 อัตรา 23,100-25,410 บาท
ปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเป็น 25,410-27,960 บาท
ข้อมูล ratchakitcha
10 อันดับ รถยนต์คันแรก ยี่ห้อไหนดี ปี 2024 ขับง่าย นั่งสบาย ราคาประหยัด
“รถยนต์” เป็นยานพาหนะที่ช่วยให้เราเดินทางได้สะดวกและออกไปผจญภัยได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะอยู่ในฤดูกาลไหน เพราะมีสมรรถนะที่ดีเยี่ยม สามารถวิ่งระยะไกลติดต่อกันได้ ทั้งยังปกป้องคุณจากความร้อนและฝนที่ตกลงมาได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถยนต์นั้นมีหลายประเภท แถมยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย จึงอาจทำให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการซื้อรถสับสนได้ว่า ควรเลือกอย่างไรจึงจะตอบโจทย์การใช้งานของตนเองมากที่สุด
ดังนั้น เพื่อช่วยให้ทุกคนเลือกรถยนต์คันแรกได้ง่ายยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงได้รวมรวบข้อมูลดี ๆ มาให้อย่างครบถ้วน ทั้งวิธีการเลือกรถยนต์คันแรก พร้อมคำแนะนำจากเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์โดยเฉพาะ และ 10 อันดับ รถยนต์ยอดนิยม จากแบรนด์ผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็น TOYOTA, HONDA, MAZDA หรือ MITSUBISHI มาให้ทุกคนใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อกันอีกด้วย
วิธีการเลือกรถยนต์คันแรก
เมื่อเป็นรถยนต์คันแรก เชื่อว่าทุกคนคงจะอยากได้รถยนต์ที่คุ้มค่าต่อการใช้งาน เพื่อให้รถยนต์คันนี้อยู่กับคุณไปได้อีกยาวนานใช่ไหมครับ ดังนั้น อันดับแรก เรามาดูวิธีการเลือกเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกรถยนต์ที่เหมาะกับตัวเองได้กันดีกว่าครับ
1
เลือกรถยนต์คันแรกจากงบประมาณที่ตั้งไว้

ก่อนเลือกซื้อรถยนต์ สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ ราคาสัมพันธ์กับงบประมาณที่เราตั้งไว้หรือไม่ โดยคุณสามารถเลือกการจ่ายเงินได้ 2 แบบ ได้แก่ การซื้อด้วยเงินสดและการซื้อแบบผ่อนชำระรายเดือน ซึ่งหากคุณมีเงินสดเพียงพอ เราขอแนะนำให้ซื้อด้วยเงินสดมากกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยที่อาจสูงถึงหลักหมื่นหรือหลักแสน ขึ้นอยู่กับราคาของรถยนต์และระยะเวลาที่ผ่อนชำระครับ
หากคุณต้องการผ่อนชำระ แต่ต้องการลดดอกเบี้ยให้ได้มากที่สุด เราขอแนะนำให้วางเงินดาวน์สูงและเลือกระยะเวลาผ่อนน้อยครับ เพราะยิ่งเงินดาวน์สูง ค่างวดที่คุณต้องผ่อนชำระก็จะถูกลง และยิ่งระยะเวลาผ่อนน้อยก็จะช่วยให้ดอกเบี้ยถูกลงอีกด้วย ซึ่งโดยปกติ คุณสามารถวางเงินดาวน์ได้ตั้งแต่ 5% – 50% หรืออาจมากน้อยกว่านี้แล้วแต่ที่ตกลงกับสถาบันการเงินไว้ และสามารถผ่อนชำระได้ตั้งแต่ 48 เดือนจนถึง 84 เดือนครับ
นอกจากนี้ ในการตัดสินใจวางเงินดาวน์และเลือกระยะเวลาผ่อน อย่าลืมพิจารณาเงินเก็บและรายรับในแต่ละเดือนควบคู่ไปด้วย โดยควรตัดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เงินที่จะนำไปเก็บสะสมและค่าบำรุงรักษารถออก จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบว่าเพียงพอต่อการผ่อนชำระหรือไม่ เพื่อให้คุณได้รถที่ราคาเหมาะสมและผ่อนชำระได้สบายที่สุดครับ
2
เลือกประเภทรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน
รถยนต์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทด้วยกัน ขึ้นอยู่กับขนาด, เครื่องยนต์, จำนวนที่นั่งและจุดประสงค์ของการใช้งานครับ ซึ่งลำดับต่อไป เราจะขอแนะนำจุดเด่นของรถยนต์แต่ละประเภท เพื่อให้คุณสามารถเลือกรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุดได้ครับ
รถ Eco Car ที่สุดของการประหยัดน้ำมัน
รถ Eco Car เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นเรื่องอัตราประหยัดน้ำมัน รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเงินในกระเป๋าของคุณ เนื่องจากมีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ไม่เกิน 1,500 ซีซี และมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ทั้งยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 120 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราการปล่อยมลพิษที่ปลอดภัยในระดับ Euro4 ที่เป็นมาตรฐานในระดับสากลครับ
นอกจากนี้ รถ Eco Car ยังเป็นรถที่มีขนาดเล็กและราคาย่อมเยาที่สุดในบรรดารถทุกประเภท จึงมีความคล่องตัวสูง จอดรถง่าย เหมาะกับผู้ที่ต้องการขับขี่ในตัวเมือง และช่วยประหยัดเงินให้เหลือเก็บไปเป็นค่าประกันหรือค่าบำรุงรักษาได้ ทั้งยังเป็นรถยนต์ที่เข้าเงื่อนไขโครงการรถยนต์คันแรก เนื่องจากมีราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท และมีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี ที่ผู้ซื้อสามารถขอเงินภาษีคืนได้อีกด้วย หากคุณต้องการรถคันขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมันสักคันหนึ่ง รถ Eco Car ถือว่าตอบโจทย์อย่างยิ่งเลยครับ
รถ Sedan และ Hatchback ที่มีความคล่องตัวสูง
หากคุณกำลังมองหา City Car หรือรถสำหรับขับขี่ในเมือง เราขอแนะนำให้เลือกรถ Sedan 4 ประตู หรือรถ Hatchback 5 ประตู เนื่องจากรถประเภทนี้มีขนาดกำลังดีและมีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ทำให้มีความคล่องตัวสูง ทั้งยังง่ายต่อการจอดรถในบริเวณแคบ ๆ อีกด้วย ซึ่งนอกจากจุดเด่นในเรื่องความคล่องตัวแล้ว รถ Sedan และรถ Hatchback ยังออกแบบมาให้มีห้องโดยสารกว้าง นั่งสบาย สะดวกต่อการขึ้น-ลงรถและมีช่วงล่างค่อนข้างต่ำ รถจึงไม่เหวี่ยงไปมาขณะขับขี่ครับ
ความแตกต่างระหว่างรถ Sedan และรถ Hatchback คือ ที่เก็บสัมภาระท้ายรถ โดยรถ Sedan จะมีที่เก็บสัมภาระแยกจากห้องโดยสาร จึงมีข้อดีตรงที่กลิ่นต่าง ๆ จะไม่มารบกวนขณะขับขี่ ส่วนที่เก็บสัมภาระท้ายรถของรถ Hatchback จะอยู่รวมกับห้องโดยสาร ทำให้อาจมีกลิ่นลอยเข้ามาได้ แต่ในขณะเดียวกัน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องต่อเติมที่เก็บสัมภาระแยกด้านหลัง จึงทำให้ส่วนท้ายของรถสั้น ง่ายต่อการถอยจอดและรถยนต์บางรุ่นยังสามารถพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้อีกด้วยครับ
รถ SUV ห้องโดยสารกว้าง นั่งสบาย
หากคุณกำลังมองหารถยนต์สำหรับครอบครัวอยู่ เราขอแนะนำรถ SUV (Sport Utility Vehicle) หรือที่เรียกกันว่า รถอเนกประสงค์เลยครับ เนื่องจากรถยนต์ประเภทนี้มีจุดเด่นในเรื่องความนิ่มนวลขณะขับขี่ และความกว้างขวางของห้องโดยสาร โดยสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากถึง 7 คน จึงสามารถเดินทางได้ทั้งครอบครัว นั่งได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งยังสามารถพับเบาะหลังได้ ทำให้วางสัมภาระได้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ ตัวถังรถประเภท SUV นั้นยังอยู่สูงจากพื้นมากกว่ารถ Sedan และรถ Hatchback ทำให้คุณสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ แม้ในเส้นทางที่ค่อนข้างขรุขระอย่างถนนลูกรัง และยังช่วยให้ผู้สูงอายุขึ้น-ลงรถได้ง่าย เนื่องจากไม่จำเป็นต้องก้มตัวระหว่างเข้า-ออกจากรถอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นประเภทที่เกิดมาเพื่อเป็นรถครอบครัวจริง ๆ ครับ
รถกระบะ สำหรับผู้ที่ต้องการบรรทุกของ
รถกระบะ เป็นรถยนต์ยอดนิยมที่ติดอันดับขายดีมาอย่างยาวนาน เนื่องจากสามารถบรรทุกสัมภาระได้เป็นจำนวนมาก มีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ดี มีกำลังแรงม้าสูง ออกตัวได้ไว ทนทานต่อการวิ่งทางไกล และสามารถขับขี่ในพื้นที่ลาดชันหรือขรุขระได้ แถมยังสามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งสำหรับภายในครัวเรือนและสำหรับธุรกิจ
นอกจากนี้ รถกระบะยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะของตัวถัง ได้แก่ แบบตอนเดียว แบบตอนครึ่ง และแบบสองตอน ซึ่งรถกระบะแบบตอนเดียวจะมีเพียง 2 ที่นั่ง และมีพื้นที่สำหรับบรรทุกของมากที่สุด ขณะที่รถกระบะแบบตอนครึ่งหรือกระบะมีแค็บจะมีพื้นที่ด้านหลังคนขับเพิ่มมาเล็กน้อยเพื่อให้สามารถนั่งได้ และรถกระบะแบบสองตอนจะมี 4 ประตูและมีห้องโดยสารกว้างขวางที่สุด ซึ่งคุณสามารถเลือกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ครับ
3
เลือกรถยนต์คันแรกจากฟังก์ชันและระบบความปลอดภัย
นอกจากการเลือกประเภทของรถยนต์ให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานของเราแล้ว ฟังก์ชันภายในรถและระบบความปลอดภัยก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน โดยฟังก์ชันและระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้ครับ
- ระบบ Push Start ช่วยให้คุณสามารถสตาร์ตรถได้ทันทีเมื่อกุญแจอยู่ใกล้ตัวรถ โดยไม่จำเป็นต้องเสียบกุญแจ เพียงกดปุ่ม Push Start เท่านั้น
- ระบบ Adaptive Cruise Control เป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน รถสามารถวิ่งเองตามความเร็วที่เรากำหนดไว้ได้โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง และรถจะเพิ่ม-ลดความเร็วอัตโนมัติ แปรผันตามความเร็วของรถคันข้างหน้า
- ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนกับรถ เพื่อให้สามารถใช้งานการโทรออก-รับสาย, ข้อความ, แผนที่ และเครื่องเล่นเพลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากการขับขี่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุ
- กล้องรอบคัน 360 องศา ช่วยให้เห็นสิ่งกีดกวางในมุมอับสายตาที่เรามองไม่เห็น ช่วยลดอุบัติเหตุและช่วยให้จอดรถได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
- ระบบเบรกอัตโนมัติ ระบบจะเบรกเองโดยอัตโนมัติหากอยู่ในระยะอันตราย และยังไม่มีการเหยียบเบรกเพื่อป้องการเกิดอุบัติเหตุ
- ระบบรักษาช่องทาง ระบบจะส่งเสียงเตือนและช่วยดึงพวงมาลัยกลับเมื่อรถออกนอกเลน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการหลับในของผู้ขับขี่
- ระบบจับจุดบอด ระบบจะขึ้นสัญญาณเตือนบริเวณกระจกส่องหลัง หากมีรถกำลังขับขี่อยู่ในจุดบอดที่เรามองไม่เห็น
หากคุณเลือกรถยนต์ที่มีฟังก์ชันที่สะดวกต่อการใช้งานและมีระบบความปลอดภัยที่ดี นอกจากจะช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ขับขี่ได้อย่างอุ่นใจในความปลอดภัยของตัวคุณและคนที่คุณรักอีกด้วยครับ